วันที่ 20 มี.ค. 67 ที่สำนักงานพลังงานจังหวัดน่าน นายชัยนรงค์ วงศ์ใหญ่ ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เป็นประธานในการแถลงข่าว กรณีห้ามนำเข้าสินค้าที่ไม่จำเป็นจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายในแขวงไซยะบูลี สปป.ลาว โดยมีผู้แทนจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดน่าน และสำนักงานเกษตรจังหวัดน่าน เข้าร่วมการแถลงข่าว

ตามที่แขวงไซยะบูลี ได้ออกแจ้งการ เลขที่ 141/จข.ซย. ลงวันที่ 5 ธันวาคม 2566 เรื่อง จำกัดการนำเข้าสินค้าที่ไม่จำเป็นจากต่างประเทศที่จะจำหน่ายในแขวงไซยะบูลี รวมทั้งหมด 137 รายการ โดยแบ่งเป็น 3 หมวด ได้แก่ (1) หมวดพืชผัก จำนวน 59 รายการ และผลไม้ จำนวน 23 รายการ (2) หมวดสินค้าประเภทสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ จำนวน 39 รายการ (3) หมวดสินค้าอุตสาหกรรมและหัตถกรรม จำนวน 16 รายการ (ยกเว้นพันธุ์พืชและพ่อแม่พันธุ์สัตว์) โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 นั้น

จังหวัดน่าน โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดน่าน ได้ดำเนินการประสานความคืบหน้ากับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เวียงจันทร์ สรุปดังนี้

1. มาตรการดังกล่าว เป็นการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในแขวงเอง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในท้องถิ่นให้สามารถผลิตและมีตลาดรองรับในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายในท้องถิ่น ให้สามารถแข่งขันกับสินค้าจากต่างประเทศได้ ทั้งนี้ สินค้าตามแจ้งการส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่มีฐานการผลิตขนาดเล็กจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล

2. มาตรการดังกล่าวของแขวงไซยะบูลี จะไม่กระทบต่อไทยมากนัก เนื่องจากสินค้าประเภทพืชผัก จำนวน 59 รายการ ที่มีการจำกัดการนำเข้า ไม่ปรากฏรายการที่ไทยส่งออกให้ สปป.ลาว ผ่านด่านชายแดนที่ติดกับแขวงไซยะบูลี ทั้งนี้ สินค้าไทยที่ส่งออกไปยังแขวงไซยะบูลี โดยส่วนใหญ่ ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องใช้ไฟฟ้า วัสดุก่อสร้าง และสินค้าอุปโภคบริโภค

3. การนำเข้าสินค้าไทยของ สปป.ลาว ไม่ได้นำเข้าผ่านด่านชายแดนที่ติดแขวงไซยะบูลี เป็นหลัก ส่วนใหญ่มีการนำเข้าจากด่านอื่น ๆ เช่น หนองคาย-เวียงจันทน์ มุกดาหาร-สะหวันนะเขต นครพนม-คำม่วน เชียงของ-ห้วยทราย เป็นต้น กลไกการค้าชายแดนและการกระจายสินค้ายังสามารถดำเนินการได้ปกติ ในส่วนของจังหวัดน่าน การส่งออกสินค้าผ่านจุดผ่านแดนถาวรบ้านห้วยโก๋น อำเภอเฉลิมพระเกียรติ ข้อมูลจากด่านศุลกากรทุ่งช้าง พบว่าสินค้าส่งออกโดยส่วนใหญ่ ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง สิ่งก่อสร้างและส่วนประกอบ สำหรับสินค้าภายใต้มาตรการเป็นการซื้อขายเพียงเล็กน้อย จึงไม่กระทบต่อผู้ประกอบการจังหวัดน่าน